วิธีเลือก Smart TV อย่างฉลาด

Posted by

ยุคสมัยนี้การมองหา Smart TV ซักเครื่องไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป แต่จะเลือกให้ดีและคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักเช่นกัน เนื่องด้วยตลาดการแข่งขันนั้นค่อนข้างสูงแต่ละแบรนด์ก็ทำสินค้าออกมามีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน ราคาก็ใกล้เคียงกัน ทำให้ผู้บริโภคอย่างเราต้องคิดกันนิดหนึ่งว่าการจะเลือกทีวีสักเครื่องนั้นต้องดูจากอะไรบ้าง วันนี้มีคำตอบมาให้ทุกท่านลองพิจารณากันดู
อันดับแรกก็ต้องมาทำความรู้จักกันก่อนว่า Smart TV คืออะไร ในอดีตแทบทุกบ้านคุ้นเคยกับการชมละคร ดูข่าว ดูรายการต่าง ๆ ผ่านทีวีจอตู้ขนาดหนาแต่สำหรับ Smart TV นั้น แตกต่างไปอย่างมากเพราะมันถูกพัฒนาในหลายด้าน เช่นตัวเครื่องที่บางลงอย่างมาก และฟังก์ชันการใช้งานที่มีจำนวนมากขึ้นรวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกม, เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต, การเข้าเว็บบราวเซอร์, ดาวน์โหลดแอพพลิเคชันเพิ่มเติมได้เหมือนกับการใช้สมาร์ทโฟน หรือจะใช้แฟลชไดร์ฟต่อเข้ากับพอร์ตของ Smart TV เพื่อการดูหนังฟังเพลง
อันดับถัดมาคือความแตกต่างของหน้าจอแต่ละประเภท ได้แก่
– LCD (Liquid Crystal Display) เป็นเทคโนโลยีแรกๆ สำหรับทีวีจอแบน ใช้หลอดไฟ CCFL (Cold Cathode Fluorescent Lamp) ขนาดเท่าหลอดกาแฟ วางเรียงตัวเป็นแนวนอนอยู่ภายใต้หน้าจอเป็นตัวก่อกำเนิดแสง (Backlit) ทำงานร่วมกับ Color Filter ทั้ง 3 สี ได้แก่ สีแดง น้ำเงิน และเขียว ก่อนแสดงผลออกมาสีสันต่างๆ ที่เราเห็นบนจอภาพนั่นเอง
– LED (light-emitting diode) เป็นประเภทของทีวียอดนิยมมากที่สุดในตลาด ต่อยอดเทคโนโลยีมาจาก LCD ใช้หลอดไฟ LED ขนาดจิ๋ว 3 สี ได้แก่ สีแดง น้ำเงิน และเขียว เป็นตัวกำเนิดแสง แต่กลับให้แสงสว่างได้ดีว่า LCD กินไฟน้อยกว่า และตัวเครื่องมีความบางยิ่งขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ LED TV ยังมีตัวเลือกที่น่าสนใจ แบ่งออกเป็นดังนี้ EDGE LED, Full LED และ RGB LED
– Plasma TV อีกประเภทของจอทีวี มีเม็ดพิกเซลที่สามารถให้กำเนิดแสงได้เองด้วยแรงดันไฟฟ้า แสดงภาพเคลื่อนไหวได้ดี ให้สีดำที่ดำสนิท สีสันมีความเป็นธรรมชาติ มีมิติและมุมมองของการแสดงภาพที่กว้างกว่า LCD TV แต่กระจกของ Plasma TV จะสะท้อนแสงเมื่อตั้งอยู่ในห้องที่มีแสงจ้ามากทำให้ภาพบนหน้าจอลดคุณภาพลงไปพอสมควร รวมถึงกินไฟมากอีกด้วย
– OLED TV (Organic Light Emitting Diodes) เป็นประเภทของทีวีสมัยใหม่ ที่เสมือนเป็นการนำจุดแข็งของทีวีแต่ละประเภทมารวมไว้ในที่เดียว เม็ดพิกเซลสามารถให้กำเนิดแสงได้เองคล้ายกับ Plasma TV ซึ่งไม่ต้องพึ่งหลอดไฟเหมือน LCD หรือ LED จุดเด่นของจอ OLED คือความบางและความยืดหยุ่น สามารถพัฒนาหน้าจอให้มีความโค้งได้ กินไฟน้อย แสดงสีสันของภาพได้สม่ำเสมอไม่ว่าจะมองจากองศาใดก็ตาม ซึ่งแน่นอนว่าเทคโนโลยีที่ทันสมัยย่อมตามมาด้วยราคาที่แพงขึ้น

และอันดับสุดท้ายคือ ความละเอียดของภาพ (Resolution) เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเลือกซื้อ ซึ่งปัจจุบันจะเห็นได้ว่าในตลาดบ้านเราความละเอียดเริ่มต้นของทีวีจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
– HD (1366 x 768 Pixel) เป็นมาตรฐานความละเอียดของภาพที่แพร่หลายในตลาดปัจจุบัน รวมถึงรายการหรือละครทางทีวีหลายช่องในระบบทีวีดิจิตอล ก็มีการแพร่ภาพในระบบ HD แล้วด้วย รวมถึงการดูหนังHD หรือการดูรายการและวาไรตี้ต่าง ๆ สนับสนุนรับชมภาพที่มีความคมชัดและลงตัว นอกจากนี้ราคาทีวียังไม่แพงอีกด้วย
– Full HD (1920 x 1080 Pixel) เป็นอีกหนึ่งความละเอียดที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ช่วยในการดูหนังแบบ Blu-ray, คอนเทนต์หรือรายการทีวีแบบ Full HD ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และแน่นอนเป็นความละเอียดที่สอดคล้องกับการรับชมรายการในระบบทีวิดิจิตอล ภาพจะคมชัดกว่าการดูหนังHDเล็กน้อย
– UHD (Ultra High Definition หรือ 4K) มีความละเอียดอยู่ที่ 3840 x 2160 Pixel สูงกว่า Full HD ถึง 4 เท่า ซึ่งประโยชน์ของการแสดงภาพในความละเอียดระดับ UHD จะช่วยให้เราได้ชมภาพที่มีความคมชัด เสมือนจริงที่สุด แถม UHD TV บางรุ่นยังมีฟังก์ชั่น Upscale ภาพ ในระดับ Full HD ให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียง UHD ได้ แต่ต้องยอมรับว่ารายการทีวีที่มีการถ่ายทำแบบ UHD ในประเทศไทยยังแทบไม่มีให้เห็น และราคาทีวียังค่อนข้างสูงอยู่มาก